วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การเดินทางมาจีนของมาโคโปโล 马可波罗来华


ในสมัยราชวงศ์หยวน เอเซีย แอฟริกา และยุโรปมีการติดต่อการสัมพันธ์กันมาก ในช่วงเวลานั้น ชาวต่างชาติที่มีชื่อเสียงผู้หนึ่งก็ได้เดินทางมายังประเทศจีน ท่านมีชื่อว่า มาโคโปโล(Marco Polo)เป็นชาวเวนิสเมืองแห่งหนึ่งในประเทศอิตาลี ท่านได้เดินทางมาประเทศจีนในรัชสมัยของพระเจ้าหยวนซื่อจู่(กุบไลข่าน)

ท่านใช้เวลาถึง 4 ปีจึงมาถึงประเทศจีน มาโคโปโลเป็นคนฉลาดมาถึงได้ไม่นานก็สามารถพูดภาษามองโกล ขี่ม้า ยิงธนูได้ ทำให้กุบไลข่านชอบมาโคโปโลมาก ท่านได้ออกสำรวจประเทศจีนไปทั่วและเขียนหนังสือบรรยายสภาพแวดล้อมของประเทศจีน นอกจากนี้ท่านยังเคยอาศัยอยู่ที่เมืองหยางโจวและเป็นเจ้าเมืองถึง 3 ปี

เมื่อมาโคโปโลกลับมาถึงบ้านเกิดเมืองนอนของตน ในขณะนั้นได้เกิดสงครามขึ้น ท่านได้เข้าร่วมรบกับกองทัพเวนิส แต่เมื่อพ่ายแพ้สงครามมาโคโปโลก็ได้ถูกจับตัวไป ขณะที่ท่านอยู่ในคุกมักจะเล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับประเทศจีนให้คนในคุกฟัง และในคุกก็ได้มีนักเขียนผู้หนึ่งได้นำคำบอกเล่าของมาโคโปโลมาเขียนเป็นหนังสือ"บันทึกการเดินทางของมาโคโปโล"ขึ้นมา

บันทึกเล่มดังกล่าวถูกตีพิมพ์และได้รับความสนใจจากผู้อ่านเป็นอย่างมาก ทำให้ชาวยุโรปสนใจอารยธรรมตะวันออกมากขึ้น

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ซงจ้านกานปู้กับองค์หญิงเหวินเฉิง松赞干布与文成公主


ชาวตูโปเป็นบรรพบุรุษของชนชาติธิเบต แรกเริ่มดำรงชีวิตอยู่ในที่ราบสูงทิเบตมีอาชีพทำรเกษตรและเลี้ยงสัตว์ ในตอนแรกของศตวรรษที่ 7 ผู้นำที่มีบทบาทของตูโปนามว่า ซงจ้านกานปู้ ได้ทำการรวมชนชาติและตั้งเมืองหลอเซีย(เมืองลาซา ทิเบตในปัจจุบัน)ขึ้นเป็นเมืองหลวง

ซงจ้านกานปู้ชื่นชอบวัฒนธรรมของราชวงศ์ถังเป็นอย่างมาก และหวังจะได้รับการสนับสนุนจากราชวงศ์ถังที่เจริญรุ่งเรือง พระเจ้าถังไท่จึงยกองค์หญิงเหวินเฉิงให้อภิเษกด้วย

ปี ค.ศ. 641 องคค์หญิงเหวินเฉิงเดนทางไปตูโป โดยมีข้าราขการเดินทางไปด้วย พระราชพิธีอภิเษกสมรสจัดขึ้นอย่างใหญ่โตมโหฬาร ภายใต้การต้อนรับของชาวตูโปที่ดีอย่างมาก ชาวบ้านต่างร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน แต่เดิมชาวตูโปอาศัยอยู่ในเต้นท์ที่พัก แต่ว่ากันว่าเพื่อต้อนรับองค์หญิง จึงทำการก่อสร้างพระราชวังอย่างหรูหราขึ้นเป็นพิเศษ ซึ่งก็คือ พระราชวังโปตาลาในปัจจุบันนั้นเอง

องค์หญิงรักการอ่านหนังสือ เป็นหญิที่มีความสารถ ครั้นพระองค์เข้าสู่ตูโป ก็ได้นำเอายารักษาโรค หนังสือ เมล็ดพันธ์พืช และงานหัถกรรมของราชวงศ์ถังไปด้วย นอกจากนี้ยังมีช่างฝีมือในการเลี้ยงหม่อนไหม ช่างหมักเหล้า ช่างผลิตกระดาษ และช่างทอผ้าร่วมเดินทางไปด้วย องคืหญิงนับถือศาสนาพุทธว่ากันว่าองค์หญิงเป็นผู้เลือกสถานที่สร้างวัดต้าเจา(วัดโจคัง)เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมของชนชาติฮั่นสู่ชาวตูโป ทำให้วัฒนธรรมและการผลิตของตูโปพัฒนาขึ้นมากกว่าเดิม

องค์หญิงเหวินเฉิงมีชีวิตอยู่ในตูโปเป็นระยะเวลา 40 ปี พระองค์ได้เสียสละตนเพื่อสร้างมิตรภาพที่ดีระหว่างสองชนชาติ ชาวธิเบตต่างก็รักและรำลึกถึงองค์หญิงเสมอมา จนถึงปัจจุบันวัดต้าเจาและพระราชวังโปตาลาในเมืองลาซา ยังคงมีรูปปั้นขององค์หญิงเหวินเฉิงประดิษฐานไว้ นอกจากนี้ในกลุ่มชนชาติธิเบตก็ยังมีเรื่องราวตำนานเกี่ยวกับองค์หญิงเหวินเฉิงมากมาย

กำแพงเมืองจีน 万里长城






กำแพงเมืองจีนสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อประมาณ 700 ปีก่อนคริสต์ศักราชในยุคชุชิวและจั้นกั๋ว หลังจากที่จิ๋นซีฮ่องเต้รวมจีนเป็นหนึ่ง ก็ได้สร้างเพิ่มและซ่อมแซมกำแพงเมืองจีนซึ่งเอาไว้ใช้ป้องกันข้าศึกของแคว้นจิ๋น แคว้นจ้าว แคว้นเหยียน เชื่อมต่อกันเป็นกำแพงป้องกันข้าสึกอันยิ่งใหญ่ ซึ่งมีความยาวต่อเนื่องถึงห้าพันกิโลเมตร โดยเริ่มจากทางตะวันออกที่แหลมเหลียวตง ไปจรดตะวันตกที่หลินเถา (ปัจจุบันมณฑลกานซู) นี่คือกำแพงเมืองจีนที่โด่งดังไปทั่วโลก หลังจากนั้นทุกราชวงศ์ก็ได้ทำการซ่อมแซมอยู่เรื่อยมา ในสมัยราชวงศ์หมิงได้มีการซ่อมแซมครั้งใหญ่ ใช้เวลาประมาณ 200 ปีถึงแล้วเสร็จ โดยกำแพงเมืองจีนส่วนตะวันออกจะใช้อิฐก่อขึ้นเป็นส่วนใหญ่
กำแพงเมืองจีนในทางประวัติศาสตร์เริ่มที่แม่น้ำยาลู่เจียงในทางตะวันออก และไปสิ้นสุดที่ด่านเจียหยึ่กวนในทางตะวันตก พาดผ่านมณฑล เขตปกครองตนเอง และนครที่ขึ้นตรงกับรัฐบาลกลาง จำนวนทั้งสิ้น 8 แห่ง(เหลียวหนิง เหอเป่ย ปักกิ่ง ซานซี มองโกเลียใน หนิงเซี่ย ส่านซี และกานซู)มีความยาวทั้งสิ้นกว่า 6700 กิโลเมตร เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
กำแพงเมืองจีนประกอบไปด้วยกำแพงสูงใหญ่ ด่านกำแพง ป้อมปราการ และหอคอยจำนวนนับร้อยนับพัน หากได้รับข่าวสารว่ามีศัตรูบุกรุก นายทหารก็จะจุดไฟบนแท่นจุดไฟซึ่งอยู่ด้านทิศเหนือของกำแพง เพื่อรายงานข่าวสารให้เมืองที่อยู่ใกล้ๆ ส่งข่าวไปยังเมืองหลวงอีกที
กำแพงเมืองจีนที่ด่านปาต๋าหลิง ด่านมู่เถี่ยนหยี่ และด่านซือหม่ไถ่ วึ่งอยู่ใกล้กรุงปักกิ่งนั้น ล้วนสร้างขึ้นในราชวงศ์หมิงทั้งสิ้น กำแพงเมืองจีนส่วนนี้สร้างขึ้นตามแนวภูเขา จึงมีความยิ่งใหญ่แข็งแรง ทางเดินบนยอดกำแพงเมืองจีนสามารถรองรับจำนวนม้าห้าหกตัวเดินเรียงหน้ากระดานได้ แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของกำแพงเมืองจีน ในปัจจุบันนี้กำแพงเมืองจีนถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

ฮัวมู่หลานเกณฑ์ทหารแทนบิดา 花木兰代父从军


บทเพลงมู่หลาน เป็นเพลงพื้นเมืองทางภาคเหนือที่ได้แพร่หลายอย่างกว้างขวาง ในเพลงนี้เล่าถึงเรื่องราวกับหญิงสาวกล้าหาญคนหนึ่งนามว่า "ฮัวมู่หลาน" ซึ่งได้แต่งตัวเป็นชายและรับเกณฑ์ทหารแทนบิดาของเธอ

เป็นที่เล่ากันว่า ฮัวมู่หลานเป็นคนราชวงศ์เว่ยเหนือ คนภาคเหนือส่วนมากชอบฝึกวิทยายุทธ์ บิดาของฮัวมู่หลานเคยเป้นทหาร เมื่อมู่หลานอายุ 10 ขวบ บิดามักจะพาเธอไปฝึกขี่ม้า ยิงธนู และเรียนรู้วิธีฟันดาบกับกระบองที่ริมฝั่งน้ำนอกหมู่บ้านเสมอ ในเวลาว่างเปล่า มุ่หลานมักจะชอบอ่านตำราพิชัยสงครามของบิดาด้วย

ราชวงศ์เว่ยเหนือหลังจากการปฏิรูปของพระเจ้าเซี่ยวเหวินตี้แล้วสังคมและเศรษฐกิจได้มีการพัฒนา ประชาชนดำรงชีวิตด้วยความปลอดภัย แต่ชนชาติโหรวหรานซึ่งเป็นชนชาติที่เร่ร่อนเลี้ยงสัตว์อยู่ทางเหนือของเว่ยเหนือได้รุกรานทางใต้เสมอ ราชสำนักของเว่ยเหนือจึงกำหนดให้แต่ละครอบครัวส่งผู้ชายหนึ่งคนไปรบ ในขณะที่บิดาของมู่หลานอายุมากแล้ว ไหนจะสามารถไปรบได้ ส่วนน้องชายเธออายุยังน้อย มู่หลานจึงตัดสินใจไปรบแทนพ่อ จากนั้นมาฮัวมู่หลานได้ใช้ชีวิตในกองทัพเป็นเวลานานถึง 12 ปี การสู้รบตามชายแดน แม้แต่ผู้ชายยังรู้สึกลำบาก มู่หลานยังต้องปิดบังความเป็นผู้หญิงของตนในขณะที่สู้รบร่วมกับเพื่อนกัน อย่างไหร่ก็ตาม ในที่สุดมู่หลานได้บรรลุภารกิจของตน และกลับบ้าน พระมหากษัตริย์ทรงต้องการแต่งตั้งให้เธอเป็นแม่ทัพเนื่องด้วยความดีความชอบในการรบของเธอ แต่เธอได้ปฏิเสธ

หลายพันปีผ่านมา ฮัวมู่หลานถือเป็นวีรสตรีที่ได้รับความเคารพอย่างสูงจากชาวจีนตลอดมา เพราะความกล้าหาญและความซื่อสัตย์ของเธอ ปี ค.ศ. 1998 บริทดิสนีย์(Disney)ยังได้นำเรื่องราวของเธอมาเรียบเรียงและถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์การ์ตูนที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ชื่อแซ่ชาวจีน 中国人的姓名!!!


แซ่หรือนามสกุลของชาวจีน เกิดขึ้นในยุคที่สังคมวงศ์ตระกูลสืบเชื้อสายแม่ ในสมัยนั้นผู้คนจะถือเอาฝ่ายหญิงเป็นการสืบทอดมรดก ต่อมาเพื่อเป็นการแบ่งแยกวงศ์ตระกูลจึงกำหนดให้ให้แซ่เป็นสัญลักษณ์ในการแบ่งแยกวงศ์ตระกูลที่มาของแซ่ต่างๆ สรุปคร่าวๆ ได้ดังนี้


  1. ในสมัยสังคมวงศ์ตระกูลที่สืบเชื้อสายจากแม่ได้มีการนำชื่อแม่มาใช้เป็นแซ่

  2. นำชื่อสัตว์ที่ผู้คนเคารพนับถือมาใช้เป็นแซ่ เช่น ม้า วัว แพะ มังกร เป็นต้น

  3. นำศักดินาที่ได้รับพระราชทานมาใช้เป็นแซ่ เช่น เจ้า ซ่ง ฉิน อู๋ เป็นต้น

  4. นำยศขุนนางของบรรพบุรุษมาใช้เป็นแซ่ เช่น ซือหม่า ซือถู เป็นต้น

  5. นำบรรดาศักดิ์ของบรรพบุรุษมาใช้เป็นแซ่

  6. นำสถานที่หรือวิวทิวทัศน์มาใช้เป็นแซ่

  7. นำชื่ออาชีพมาใช้เป็นแซ่ เช่น อาชีพทำเครื่องปั้นดินเผา(เถาชี่)ก็จะแซ่เถา

  8. นำสมญานามของบรรพบุรุษมาใช้เป็นแซ่ เช่น จักรพรรดิหวงตี้มีสมญานามว่าซวนหยวน ต่อมาซวนหยวนก็กลายมาเป็นแซ่

แซ่ของชาวจีนมักจะมีหนึ่งคำหนึ่งตัวอักษร แต่ก็มีสองตัวอักษรหรือมากกว่านั้น ปัจจุบันยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าแซ่ที่ใช้ทั้งหมดมีกี่แซ่ แต่เท่าที่ทราบมาว่าน่าจะมีสามพันห้าร้อยกว่าแซ่ แต่แซ่ที่มีการใช้มากที่สุดมีอยู่สามแซ่ได้แก่ หลี่ หว่าง จาง



วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ขงจื๊อ 孔子!!!



ขงจื๊อ(ก่อน ค.ศ. 551-479) ชื่อชิว สมญานามจ้งหนี เป็นคนรัฐหลู่ในยุคชุนชิว เป็นนักปรัชญา นักการศึกษาที่ยิ่งใหญ๋ของจีนและเป็นผู้ก่อตั้งสำนักปรัชญาขงจื๊อ (หรูเจีย:儒家)
บรรพบุรุษของขงจื๊อเป็นชนชั้นสูงในรัฐซ่ง สืบเชื้อสายจากกษัตริย์สมัยราชวงศ์ซาง ขณะที่เขายังเยาว์วัยบิดาของเขาก็ได้เสียชีวิตลง ต่อมาบานะทางครอบครัวของเขาเริ่มขัดสน ถึงแม้ว่าตอนเป็นหนุ่มทางบ้านขงจื๊อจะมียากจนแต่เขาก็ได้ตั้งปณิธานจะร่ำเรียนวิชาความรู้ให้สำเร็จ ดังคำกล่าวของขงจื๊อว่า"สามคนเดินมาด้วยกัน หนึ่งในนั้นต้องเป็นอาจารย์ฉันหนึ่งคน (三人行,必有我师焉)" ต่อมาขงจื๊อเริ่มรับนักเรียนและเริ่มถ่ายทอดวิชาความรู้ที่ตนมี จำนวนนักเรียนที่ขงจื๊อรับไว้เป็นศิษย์มีทั้งหมดสามพันกว่าคน ในจำนวนนี้คนจำนวนไม่น้อยเปนคนยากจน จุดนี้เองทำให้ระบบการศึกษาของจีนในสมัยโบราณที่ว่าลุกหลานขุนนางและชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะได้เรียนหนังสือเปลี่ยนไป ช่วงปลายชีวิตของขงจื๊อได้รวบรวมหนังสือโบราณมากมาย ซึ่งเป็การรักษาหนังสือเหล่านั้นให้สืบทอดมาจนปัจจุบันนี้ เช่น หนังสือซือจิง ซางซู โจวอี้ เป็นต้น
ปรัชญาแนวคิดหลายอย่างของขงจื๊อมีคุรค่าสำหรับคนในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก เช่น คำสอนของขงจื๊อจะต้องแทรกความรู้ในเรื่อง"เหริน(仁)" ขงจื๊อเห็นว่าการที่จะบรรลุให้ถึงหลักคุณธรรมได้นั้น ต้องรู้จักเอาใจใส่ผู้อื่น อะไรที่ตนไม่อยากทำก็ไม่ต้องไปผลักให้ผู้อื่นทำ
ขงจื๊อยังเห็นว่าการจัดการกับความสัมพันธ์กันคนนั้น ควรยอมรับในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล ไม่ควรนำเอามาตรฐานเดียวกันมาวัดทั้งสองฝ่าย เมื่อปฎิบัติได้ดังนี้แล้วจึงจะสามารถควบคุมสังคมให้สงบและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในการเรียนการสอนของขงจื๊อจะเน้นในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ เน้นให้ลูกศิษย์มีความคิดเป็นของตนเอง ในการศึกษาตำรานั้น นอกจากจะได้ความรู้จากตำราแล้วก็ต้องสร้างทัศนคติของตนเองด้วย
คำสอนของขงจื๊อได้ถูกรวบรวมโดยลูกศิษย์และเยบเรียงเป็นหนังสือที่มีชื่อว่า"หลุนหยู่(论语)" แนวคิดของขงจื๊อได้ถูกคนรุ่นหลังศึกษาและเผยแพร่อย่างกว้างขวางกลายเป็นลัทธิที่ยิ่งใหญ่และอิทธิพลต่อคนส่วนมากของจีน
ขงจื๊อนับว่าเป็นมรดกล้ำค่าของจีน ซึ่งคนจีนรู้จักแทบทุกครัวเรือนและความคิดของคนจีนส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากคำสอนของขงจื๊อไม่มากก็น้อย นอกจากนี้ขงจื๊อนับว่าเป็นมรดกล้ำค่าของโลก ดังที่องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัมนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือองค์การยูเนสโกได้ยกย่องให้ขงจื๊อเป็นหนึ่งในสิบบุคคลที่มีชื่อเสียงด้านวัฒนธรรมของโลก

สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือทั้งสี่ 文房四宝!!!



ตั้งแต่โบราณกาลมา เวลาที่คนจีนต้องเขียนหนังสือหรือวาดภาพนั้น สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยนั้นก็คือ กระดาษ หมึก พู่กัน และจานฝนหมึก เครื่องเขียนทั้งสี่ประเภทนี้จึงถูกขนานนามว่า "สิ่งล้ำค่าในห่องสมุดทั้งสี่"ซึ่งรายละเอียด ดังนี้
  1. กระดาษ(纸)กระดาษที่เป็นที่ยอมรับกันเรียกว่ากระดาษซวนจื่อ เป็นกระดาษที่มีชื่อเสียงตั้งแต่ราชวงศ์ถัง กระดาษชนิดนี้ผลิตที่เมืองซวนเฉิง มณฑลอันฮุย เนื้อกระดาษสีขาว นุ่ม เหนียว ซับน้ำได้ดี อีกทั้งกระดาษซวนจื่อเก็บรักษาไว้ได้นาน ไม่ผุเปื่อยง่าย ไม่เปลี่ยนสี
  2. หมึก (墨) การใช้หมึกเขียนอักษรหรือวาดภาพในอดีตล้วนพิถีพิถัน เมืองฮุยโจว มณฑลอันฮุยนั้นเป็นแหล่งผลิตหมึกที่ดีที่สุดของจีน เรียกกันว่าหมึกฮุยม่อ หมึกชนิดดังกล่าวผลิตครั้งแรกในราชวงศ์ถัง วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตประกอบด้วยยาจีนและเครื่องหอม บางทีก็ผสมทองคำ ดังนั้นหมึกชนิดนี้จึงมีสีดำวาวนวล และกลิ่นหอมกรุ่น และสามารถเก็บไว้ได้นานหลายสิบปี
  3. พู่กัน(笔) ต้นกำเนิดในการใช้พู่กันมีมาหลายพันปี วัตถุดิบที่ใช้ผลิตคือขนสัตว์และก้านไผ่ การทำพู่กันที่ดีหนึ่งด้ามต้องผ่านกระบวรการเจ้ดสิบขั้นตอน คนงานที่ทำพู่กันจะคัดเลือกขนแพะ ขนกระต่าย ขนหมาจิ้งจอกทีละเส้น จากนั้นนำมารวมกันจึงจะสามารถนำมาทำพู่กันคุณภาพเยี่ยมได้ พู่กันคุณภาพเยี่ยมที่สุดผลิตที่เมืองหูโจว มณฑลเจ้อเจียง
  4. จานฝนหมึก (砚)จานฝนหมึกมีมานานกว่าสามพันปีแล้ว จานฝนหมึกที่มีชื่อเสียงของจีนมีสี่ประเภท ได้แก่ จานฝนหมึกเซ่อเอี้ยน จานฝนหมึกเถาเหอเอี้ยน จานฝนหมึกเฉิงหนีเอี้ยน และจานฝนหมึกตวนเอี้ยน ในบรรดาทั้งสี่นี้ ตวนเอี้ยนมีชื่อเสียงมากที่สุด จานฝนหมึกตวนเอี้ยนทำมาจากหินตวนสือ ข้อดีของมันคือ ง่ายต่อการฝนหมึก น้ำหมึกไม่แห้งเป็นเกร็ดง่าย

กระดาษ หมึก พู่กัน และจานฝนหมึก เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเสริมให้วัฒนธรรมจีนและศิลปะการเขียนพู่กันและการวาดภาพของจีนเจริญก้าวหน้า จวบจนถึงปัจจุบันนี้ผู้คนยังคงขนานนามว่า"สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือทั้งสี่"